นิสสัน เซดริค (Nissan Cedric) เป็นรถยนต์รุ่นหนึ่ง ผลิตโดยค่ายรถยนต์ นิสสัน มอเตอร์ ในระหว่าง พ.ศ. 2503-2547 ก่อนจะถูกแทนที่โดย นิสสัน ฟูกา
ในช่วงแรกของการผลิต เซดริคแข่งขันกับรถ Prince Skyline และ Prince Gloria แต่ต่อมา ปรินซ์มอเตอร์ได้รวมกิจการเข้ากับนิสสัน ทำให้ Nissan Skyline(ที่มาจาก Prince Skyline) ได้ถูกออกแบบให้เป็นรถสปอร์ตมากขึ้น เพื่อให้เซดริคได้มีจุดยืนด้านของรถหรูขนาดใหญ่ และ Nissan Gloria (ที่มาจาก Prince Gloria) ได้ถูกผนวกรวมเข้ากับรุ่นเซดริค โดยเป็นเวอร์ชันสปอร์ตของเซดริค (เป็นรุ่นเสริม แต่ยังยืนจุดรถหรูขนาดใหญ่เป็นหลัก)
เซดริครุ่นแรก ได้รับชื่อว่า 30 มีเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบให้เลือกอยู่ 3 ขนาด คือ 1500 ซีซี, 1900 ซีซี และ 2000 ซีซี และเครื่องดีเซลให้เลือกอีก 2 ขนาด คือ 2800 ซีซี 6 สูบ และ 2000 ซีซี 4 สูบ มีระบบเกียร์ 2 แบบ คือ เกียร์ธรรมดา 4 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 3 สปีด
ต่อมา ใน พ.ศ. 2505 เซดริคได้มีการปรับโฉมเล็กน้อย โดยให้ไฟหน้าข้างละ 2 ดวงที่มี จากเดิมเรียงตัวในแนวบน-ล่าง เป็นการเรียงตัวในแนวซ้าย-ขวา และตั้งชื่อเซดริคหลังการปรับโฉมนี้ว่า 31 โดยที่ยังถือว่าเป็นเซดริค Generation แรกเหมือนกับ 30
เซดริครุ่นที่ 2 ได้รับชื่อว่า 130 ในช่วงรุ่นนี้ มีการผลิตเซดริค คลาสพิเศษ คือ Cedric Special ซึ่งมีการเพิ่มอุปกรณ์ความหรูหราเต็มพิกัด จนต่อมา นิสสันได้ตัดสินใจแยกสายการผลิต Cedric Special ออกไปเป็นรถรุ่นใหม่ ตั้งชื่อใหม่ว่า นิสสัน เพรซิเดนท์ (Nissan President) ซึ่งเป็นรถที่หรูหราระดับลีมูซีน ส่วนเซดริค 130 ธรรมดาก็ยังคงผลิตต่อไป
พ.ศ. 2509 ปรินซ์มอเตอร์ได้ผนวกกิจการเข้ากับนิสสัน และนิสสันได้รับช่วงผลิตรถสำคัญ 2 รุ่นของปรินซ์ ได้แก่ สกายไลน์ และ กลอเรีย
เซดริครุ่นที่ 3 ได้รับชื่อว่า 230 ในช่วงโฉมนี้ ไม่ได้ใช้ชื่อ "เซดริค" ในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ในหลายประเทศ แต่ประเทศส่วนใหญ่จะรู้จักเซดริครุ่นที่ 3 ในชื่อ 200C, 220C, 240C หรือ 260C
ในโฉมนี้ รุ่นกลอเรียถูกผนวกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเซดริค โดยเป็นเวอร์ชันสปอร์ตของเซดริค และในช่วงรุ่นนี้เริ่มมีการผลิตตัวถังแบบคูเป้ 2 ประตู และระบบเกียร์ธรรมดา 5 สปีดขึ้น
เซดริครุ่นที่ 4 ได้รับชื่อว่า 330 ในช่วงโฉมนี้ การโฆษณารถก็ยังไม่ได้ใช้ชื่อ "เซดริค" แต่ยังใช้ชื่อ 200C, 220C, 260C และ 280C ในโฉมนี้ มีการนำหลอดไฟฮาโลเจนมาใช้เป็นไฟหน้า มีการเริ่มผลิตเครื่องยนต์ระบบหัวฉีด ซึ่งเป็นระบบใหม่ สามารถให้แรงมากขึ้น ประหยัดน้ำมันกว่า นอกจากนี้ ยังเป็นรุ่นแรกที่ออกแบบมาให้สามารถใช้เชื้อเพลิงก๊าซ LPG ได้โดยไม่ก่อให้เกิดผลเสียในระยะยาว เพื่อให้สามารถนำไปเป็นรถแท็กซี่ได้
รุ่นนี้ เป็นรุ่นสุดท้ายที่เซดริคมีการผลิตตัวถังแบบคูเป้ 2 ประตู โดยหลังจากหมดยุคของรุ่นนี้ นิสสันได้แยกสายการผลิตเซดริคแบบคูเป้ 2 ประตูออกไปเป็นรถรุ่นใหม่ของนิสสัน ตั้งชื่อว่า นิสสัน ลีโอพาร์ด (Nissan Leopard)
เครื่องยนต์ในโฉมนี้ เหมือนกับที่มีในรุ่นที่ 3 แต่มีการเพิ่มรูปแบบเครื่องยนต์ 2800 ซีซี 6 สูบเข้ามา
เซดริครุ่นที่ 5 ได้รับชื่อว่า 430 เป็นโฉมแรกที่มีระบบเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด แต่เกียร์อัตโนมัติ 3 สปีดแบบเดิมก็ยังขายอยู่ ทำให้ระบบเกียร์ในรุ่นนี้มีถึง 4 ประเภท คือ อัตโนมัติ 3 และ 4 สปีด กับเกียร์ธรรมดา 4 และ 5 สปีด
เซดริครุ่นนี้ เครื่องยนต์ระบบหัวฉีดเริ่มเป็นที่นิยม และเป็นครั้งแรกของเซดริคที่มีการผลิตเครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบ 2800 ซีซี
เซดริครุ่นที่ 6 ได้รับชื่อว่า Y30 เครื่องยนต์ในรุ่นนี้มีการใช้เครื่องยนต์ VG V6 ให้อัตราเร็วสูงสุด 193 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราเร่งสูงสุด จาก 0 ถึง 96.56 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 8.4 วินาที
เซดริครุ่นนี้ มีการเพิ่มไฟเบรกดวงใหม่อยู่ตรงกลางของด้านหลังรถ(จากเดิมที่ไฟเบรกมี 2 ข้าง ซ้าย-ขวา ของด้านหลังรถ) และนอกจากนี้ ยังมีการเปลี่ยนระบบปรับอากาศในรถยนต์ใหม่ โดยใช้สารเคมีที่ไม่ปล่อยสาร CFC จึงเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่าเครื่องปรับอากาศแบบเก่า
รุ่นนี้ เป็นรุ่นสุดท้ายของเซดริค ที่มีการผลิตตัวตังแบบวากอนและรถตู้ หลังจากเริ่มผลิตมาตั้งแต่รุ่นแรก เพราะหลังจากหมดยุคของรุ่นนี้ นิสสันได้ตัดสินใจแยกสายการผลิตอีกครั้ง แต่ไม่ใช่การตั้งเป็นรถตระกูลใหม่ แต่ย้ายรถเซดริคที่ตัวถังวากอนและรถตู้ออกไปเป็นเครือข่ายของรถ นิสสัน บลูเบิร์ด แทนที่จะเป็นเครือข่ายของเซดริค
รุ่นที่ 7 ได้รับชื่อว่า Y31 มีรีโมทควบคุมเครื่องปรับอากาศในรถยนต์ สามารถกดรีโมทควบคุมแอร์ได้จากที่นั่งด้านหลัง
รุ่นที่ 7 มีตัวถัง 2 แบบ คือ Sedan และ Hardtop เมื่อถึงปี พ.ศ. 2534 มีเพียงตัวถัง Hardtop เท่านั้นที่มีวิวัฒนาการต่อเป็นรุ่นที่ 8 และพัฒนาต่อไปจนถึงรุ่นที่ 10 และเลิกผลิตในปี พ.ศ. 2547 แต่ตัวถังแบบ Sedan เมื่อพ้นปี 2534 ไปแล้ว ไม่มีการทำรุ่นที่ 8 ต่อ แต่ยังผลิตรุ่นที่ 7 ขายต่อไปเรื่อยๆ และไม่เลิกผลิตจนกระทั่งปัจจุบัน
รุ่นที่ 7 ได้ยกเลิกการผลิตเกียร์อัตโนมัติ 3 สปีด แต่ได้มีการผลิตเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีดเข้ามาแทน ทำให้มีเกียร์ 4 แบบ คือ อัตโนมัติ 4 และ 5 สปีด และธรรมดา 4 และ 5 สปีด
รุ่นที่ 8 ได้รับชื่อว่า Y32 นับจากรุ่นนี้ไป เหลือตัวถังแบบ Hardtop เพียงอย่างเดียว (เพราะแบบ Sedan ก็ยังใช้ Y31 ต่อไปเรื่อยๆ)
รุ่นที่ 8 ได้ยกเลิกการผลิตเกียร์ธรรมดาทั้งหมด คงเหลือไว้แต่เกียร์อัตโนมัติ 4 และ 5 สปีด (รุ่นที่ 7 จึงเป็นรุ่นสุดท้ายที่มีเกียร์ธรรมดา)
รุ่นที่ 9 ได้รับชื่อว่า Y33 รุ่นนี้ได้ยกเลิกการผลิตเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด เหลือเพียงเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด
รุ่นนี้ ได้รับชื่อว่า Y34 เป็นรุ่นสุดท้ายของเซดริค Hardtop ก่อนที่จะถูกแทนที่ด้วย นิสสัน ฟูกา รุ่นนี้มีราคาที่ญี่ปุ่นเกิน 3 ล้านเยน (เกิน 1 ล้านบาท)